Last updated: 25 ก.ค. 2566 | 287 จำนวนผู้เข้าชม |
6 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงาน WWDC 2023 (Worldwide Developers Conference 2023) ของบริษัท แอปเปิล (Apple) ในปีนี้ บริษัทได้เผยโฉมระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุด iOS17 และผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยมีไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ “Apple Vision Pro” แว่น Mixed Reality รุ่นแรกของ Apple
สำหรับงานนี้เป็นงานประชุมใหญ่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก ที่ยักษ์แอปเปิลจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้จัดระหว่างวันที่ 5-9 มิถุนายน 2566 ณ แอปเปิล ปาร์ก (Apple Park) เมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย
Apple Vision Pro
Apple Vision Pro เป็นแว่น Mixed Reality รุ่นแรกของแอปเปิล ที่ผสานการใช้งานในโลกเสมือนเข้ากับโลกจริง ขณะสวมแว่นผู้ใช้ยังคงมองเห็นตามปกติ ควบคุมการใช้งานได้อย่างอิสระ เพียงแค่ขยับมือหรือสั่งด้วยเสียง สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชั่นหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ต่างจากเดิม
Apple Vision Pro จะใช้ระบบปฏิบัติการเฉพาะที่มีชื่อว่า “visionOS” จะเริ่มวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ช่วงต้นปี 2567 มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 125,000 บาท)
MacBook Air 15 นิ้ว
สำหรับ MacBook Air รุ่นนี้บางเพียง 11.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 3.3 ปอนด์ (ประมาณ 1.5 กิโลกรัม) เป็นแล็ปทอปขนาด 15 นิ้วที่บางที่สุดในโลกชองแอปเปิล มีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Silver, Space Gray, Midnight และ Starlight โดยจอภาพเป็น Liquid Retina ขนาด 15.3 นิ้ว มาพร้อมชิป M2 ซึ่งเร็วกว่า MacBook Air ที่ใช้ชิปเซต Intel ถึง 12 เท่า อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ 18 ชั่วโมง ในราคาเริ่มต้นที่ 47,900 บาท
Mac Studio
Mac Studio เปิดตัวในปี 2565 ที่ผ่านมา เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานสำหรับ “มือโปร” โดยเฉพาะ และในปีนี้ เพิ่มเติมความแรงด้วยชิป M2 Max ที่ประมวลผลเร็วขึ้น 25% เมื่อเทียบกับ M1 Max และชิป M2 Ultra ที่มาพร้อมความจุมากถึง 192GB ราคา M2 Max เริ่มต้นที่ 74,900 บาท ส่วนรุ่น M2 Ultra เริ่มต้นที่ 149,900 บาท
Mac Pro
Mac Pro ได้รับการอัพเกรดประสิทธิภาพด้วยชิป M2 Ultra ความจุ 192GB ซึ่งเป็นชิปรุ่นที่ทรงพลังที่สุดของ Apple Silicon เร็วกว่า Mac Pro ชิป Intel 3 เท่า ราคาเริ่มต้นที่ 249,900 บาท
ระบบปฏิบัติการ iOS 17 เวอร์ชั่นล่าสุด
สำหรับ iOS 17 เวอร์ชั่นนี้จะรองรับการใช้งานในผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล ตั้งแต่ iPhone SE รุ่นที่ 2 เป็นต้นไป เท่ากับว่า iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X ไม่ได้ไปต่อกับ iOS 17 แล้ว
สำหรับจุดเด่นของ iOS 17 ในการปรับปรุงการแสดงผลบนไอโฟน (iPhone) มีดังนี้
โทรศัพท์ : ปรับแต่งโปสเตอร์รายชื่อผู้ติดต่อ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ในการรับสายเรียกเข้าผ่านการปรับแต่งรูปภาพ ฟอนต์ และเมโมจิ (Memoji)
ข้อความ : สามารถดึงวัตถุจากรูปภาพ และสร้างเป็น Live Sticker ที่สามารถเพิ่มเอฟเฟ็กต์ภายหลังได้
AirDrop : สามารถส่งไฟล์ระหว่างกันได้เร็วขึ้น เพียงนำ iPhone มาวางข้าง ๆ กัน
NameDrop : การพัฒนาความสามารถ AirDrop เพื่อใช้ในการแลกข้อมูลการติดต่อ ทำหน้าที่เสมือน “นามบัตร” ออนไลน์
StandBy : การแสดงหน้าแดชบอร์ด (Dashboard) เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างชาร์จในแนวนอน
ระบบปฏิบัติการ iPadOS 17
สำหรับ iPadOS 17 นอกจากจะสามารถปรับแต่งล็อกสกรีนได้เช่นเดียวกับ iOS 16 แล้ว ยังมีจุดเด่นในการปรับปรุงการแสดงผลบนไอแพด (iPad) เป็นดังนี้
วิดเจ็ต (Widget) : วิดเจ็ตใน iPadOS 17 ช่วยให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้เพียงแค่แตะ เช่น เล่นเพลง ทำเครื่องหมายรายการเตือนความจำว่าเสร็จแล้วได้ทันที เป็นต้น
การทำงานกับ PDF บน “โน้ต” (Notes) : สามารถใส่คำอธิบายประกอบได้รวดเร็ว และขีดเขียนในเอกสารได้ทันทีโดยใช้ Apple Pencil
macOS Sonoma
จุดเด่นของ macOS Sonoma คือการปรับแต่งเดสก์ทอป (Desktop) ด้วยวิดเจ็ต จากที่เคยอยู่ศูนย์แจ้งเตือน (Notification Center) ผู้ใช้งานสามารถดึงออกมาปรับแต่งให้สะดวกกับการใช้งานได้
นอกจากนี้ macOS Sonoma ยังมาพร้อมกับ “Presenter Overlay” หรือเอฟเฟ็กต์วิดีโอที่ช่วยให้ผู้ใช้โดดเด่นขึ้น ด้วยการแสดงผู้ใช้ที่ด้านบนของเนื้อหาที่แชร์อยู่
watchOS 10
watchOS 10 มาพร้อมกับ “สแต็ก” อัจฉริยะ แสดงผลวิดเจ็ตที่ควบคุมการทำงานผ่าน “Digital Crown” หรือเม็ดมะยมบนตัวเรือน Apple Watch รวมถึงตอกย้ำจุดยืนการเป็นแก็ดเจต “สุขภาพ” ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น Cycling ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามข้อมูลสุขภาพขณะปั่นจักรยานได้ และการสำรวจสุขภาพจิต เป็นต้น
แหล่งอ้างอิง : www.prachachat.net
24 ก.ค. 2566
25 ก.ค. 2566
25 ก.ค. 2566